“เหล่าเด็กหนุ่มผู้เปลี่ยนประวัติศาสตร์” คลาสออฟ 92



“เหล่าเด็กหนุ่มผู้เปลี่ยนประวัติศาสตร์” คลาสออฟ 92


ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2021/22 นี้ คงเป็นฤดูกาลที่สุดแสนสะเทือนใจสำหรับสาวกป๊ศาจแดงเป็นอย่างมาก เมื่อทีมรักภายใต้การคุมทีมของอดีตนักเตะซูปเปอร์ซัพในตำนานอย่าง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา นำทัพพาลูกทีมไปได้ไม่ดีอย่างที่คาดหวัง หลายคนบอกว่าอาจจะเป็นเพราะเขายังขาดประสบการณ์ หรือขาดแม้กระทั่งไหวพริบในการตัดสินใจ

หรือปัจจัยสำคัญที่หลาย ๆ คนพูดถึงอาจจะเป็นที่ตัวนักเตะเอง เพราะถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นถึงสตาร์ดังมีชื่อเสียงติดตัว แต่เมื่ออยู่ในโรงละครแห่งความฝันนี้ ความเป็นสตาร์ก็ไม่สามารถช่วยให้พวกเขามีฟอร์มที่ดีและสม่ำเสมอในการลงเล่นทุก ๆ นัดได้ นั่นอาจจะเป็นเพราะขาดสิ่งที่เรียกว่า ดีเอ็นเอ ของปิศาจแดง แล้วอะไรล่ะคือสิ่งที่เรียกว่า ดีเอ็นเอ ถ้ามองง่าย ๆ ก็คือการมีสายเลือดที่เป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างแท้จริงนั่นแหละ อย่างที่กาลครั้งหนึ่งเคยมีเหตุการณ์สุดแสนมหัศจรรย์เกิดขึ้นในปี 90s

“คลาสออฟ 92” ชื่อนี้เป็นที่รู้จักเพราะประโยคที่ออกจากปากของ อลัน เฮนเซ่น นักเตะเก่าของลิเวอร์พูลคู่แค้นที่ได้วิจารณ์การทำทีมของท่านเซอร์ไว้ว่า “คุณไม่มีทางชนะได้ด้วยเด็กเหล่านี้หรอก” หลังจากในตอนนั้นเขาตัดสินใจปล่อยนักเตะดาวดังอย่าง อังเดร แคนเชลสกี้ส์, มาร์ค ฮิวจ์ส และ พอล อินซ์ ออกจากทีม เพื่อต้องการจะดันเหล่าเด็ก ๆ ให้ขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ แต่กลับพ่ายแพ้ให้เวสต์แฮม ยูไนเต็ดในนัดเปิดสนามฤดูกาล 1995/96 แต่สุดท้ายคำพูดที่อลัน เฮนเซ่น วิจารณ์ไว้ได้กลับมาเข้าตัวของเขาเองในเมื่อปีเดียวกันนั้น เหล่าเด็ก ๆ ที่ท่านเซอร์ปลุกปั้นช่วยกันพาทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คว้าดับเบิ้ลแชมป์ทั้งถ้วยพรีเมียร์ลีกและเอฟ เอ คัพ มาครองได้สำเร็จ นั่นจึงเป้นที่มาของนักเตะที่ถูกเรียกว่า “คลาสออฟ 92”

ไรอัน กิ๊กส์ คือนักเตะคนแรกที่ก้าวขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ด้วยวัย 17 ปี โดยได้รับการลงสนามอย่างต่อเนื่อง ลีลาการกระชากลากเลื้อยทางกราบซ้ายด้วยความเร็ว ทำให้เขาได้รับฉายาว่า ปีกพ่อมด และมีส่วนร่วมกับแชมป์ทุกถ้วยของทีมปิศาจแดงจนแขวนสตั๊ดกลายเป็น One Man Club ของทีม

ต่อมา แกรี่ เนวิลล์, นิกกี้ บัตต์, และเดวิด เบ็คแฮม ก็ได้รับโอกาสเป็นลำดับถัดมาในปี 1992 โดยแกรี่ เนวิลล์ เป็นคนที่ได้รับโอกาสให้ขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ก่อนใครเพื่อนในตำแหน่งกราบขวาด้วยลักษณะการเล่นที่มีความดุดัน และมีระเบียบวินัยสูง ต่อมาก็นเป็น นิคกี้ บัตต์ ที่ได้รับอกาสหลังจากเป็นอะไหล่ของทีมอยู่สักพักและเมื่อได้โอกาสจากป๋าเฟอร์กี้ บัตต์เองก็สามารถแจ้งเกิดได้ในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับได้อย่างรวดเร็ว และมีส่วนร่วมในการคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ของทีมอีกด้วย รายสุดท้ายของชุดนี้คือเจ้าของฉายา นักเตะเท้าชั่งทอง หลังจากถูกปล่อยยืม เดวิด เบ็คแฮม ก็ได้รับโอกาสรับผิดชอบกราบขวาในปี 1994/95 ลูกยิงอันเป็นเอกลักษณ์และวิธีการวางบอลยาวสุดแม่นยำ ทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่น่าจับตามองที่สุดในยุคนั้น ในฉากสุดท้ายมีเพียงแกรี่ เนวิลล์ ที่แขวนสตั๊ดกับทีมเป็น One Man Club ตามไรอัน กิ๊กส์ ไป ส่วน 2 รายหลัง บัตต์ เองย้ายไปหาความท้ายทายที่ นิวคาสเซิ่ล แต่ในด้านของ เดวิด เบ็คแฮม นั้นจบไม่สวยสักเท่าใหร่ก่อนจะย้ายไปที่เรอัล มาดริด ในปี 2003/04

คิวต่อมาเป็น เจ้าหนุ่มผมแดงเพลิง ผู้พูดน้อยแต่มีลูกยิงที่หนักหน่วง พอล สโคลส์ เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นกองกลางอัจฉริยะของทีมลักษณะเด่นคือลูกยิงไกล และมีวิสัยทัศน์ในการอ่านเกมจากแดนกลาง เป็นกำลังหลักของทีม ถึงขั้นที่ประกาศแขวนสตั๊ดไปแล้วก็ยังถูกป๋าเรียกกลับมาให้ช่วยทีมอีกรอบและ พอล สโคลส์ ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่เป็น One Man Club ลงเล่นให้กับปิศาจแดงแค่ทีมเดียว

คนสุดท้ายในกลุ่ม “คลาสออฟ 92”นี้ คือ ฟิล เนวิลล์ แม้ด้านชื่อเสียงจะไม่โดดเด่นเท่าพี่ชาย แต่ความสามารถของเขานั้นสารพัดประโยชน์ เล่นได้ทั้งกองกลางและกองหลัง แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็ย้ายออกจากโรงละครแห่งความฝัน ไปหาโอกาสลงเล่นสม่ำเสมอที่ เอฟเวอร์ตัน และประสบความสำเร็จที่นั่น

เรื่องราวทั้งหมดนี้ล้วนเกิดมาจากความพยายามและความคิดอยากจะผลักดันดาวรุ่งของยอดคนอย่าเซอร์อล็กซ์ เฟอร์กูสัน จากเด็กฝึกหัดในทีมเยาวชน พวกเขากลายมาเป็นเด็กหนุ่มที่ก้าวขึ้นมาเปลี่ยนประวัติศาสต์ไม่ใช่แค่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพียงอย่างดียว แต่ยังรวมไปถึงประวัติศาสต์ในโลกฟุตบอลอีกด้วย “คลาสออฟ 92” จึงกลายเป็นความภาคภูมิใจและความทรงจำที่มีคุณค่ายากจะลืมเลือนของสาวกปิศาจแดงตลอดกาล.

ดูข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ : Goalstorm

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ให้ผลงานเป็นการพิสูจน์ เซร์คิโอ “กุน” อเกวโร่

จากสนามฟุตบอลลอยน้ำอันโด่งดัง สู่ความเงียบเหงาเพราะขาดผู้มาเยือน